“ออกกำลังกายตอนไหนดี?”
คำถามนี้เป็นคำถามที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าหากต้องแบ่งเวลาทำงานมาออกกำลังนั้น เราควรจะตื่นมาวิ่งตอนเช้า ยกเวทตอนบ่าย หรือโยคะตอนเย็นๆ ช่วงเวลาไหนจะทำให้เผาผลาญหรือสร้างกล้ามเนื้อได้มากกว่า อันที่จริงการออกกำลังแต่ละช่วงเวลานั้นมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วันนี้เราเลยจะมาช่วยคลายข้อสงสัยกันว่า เวลาไหน เหมาะกับใครบ้าง
ออกกำลังกายตอนเช้า
การออกกำลังกายตอนเช้าสามารถกำหนดเวลาและสามารถทำให้เป็นกิจวัตรได้ง่ายกว่าตอนเย็น เพราะมีโอกาสที่จะถูกขัดจังหวะด้วยธุระที่มาจากภาระหน้าที่การงานน้อยกว่า เพียงแต่เราจำเป็นต้องปรับเวลาการเข้านอนและการตื่นให้ไวขึ้นกว่าปกติเท่านั้น โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยอัพพาลาเชียน ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายในช่วงเช้า ร่างกายจะสามารถผลิตฮอร์โมน Testosterone ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่พร้อมจะรับมือกับงานได้ตลอดทั้งวัน อีกทั้งร่างกายจะได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ในยามเช้า ทำให้ร่างกายสดชื่น มีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งการวิ่งตอนเช้า ปั่นจักรยาน หรือ เต้นแอโรบิค ก็เป็นกิจกรรมที่อยากแนะนำให้ลองนำไปออกกำลังกันในตอนเช้า
ส่วนข้อเสียของการออกกำลังตอนเช้านั้นก็มีอยู่ หากคุณพักผ่อนไม่เพียงพอการออกตอนเช้าจะทำให้ยิ่งอ่อนเพลียกว่าเดิม หรือไม่ก็จะทำให้การออกกำลังไม่ได้ประสิทธิภาพ เพราะออกเบาเกินไปเนื่องจากไม่มีแรง หรือร่างกายไม่พร้อมออกกำลังได้เต็มที่ ทำให้มีโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อในขณะที่ออกกำลังได้มากกว่า ทางแก้ไขก็คือเข้านอนให้เร็ว พักผ่อนอย่างเพียงพอ และอบอุ่นร่างกายให้นานกว่าการออกในช่วงเวลาอื่นๆ อย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นมากพอ
การออกกำลังกายตอนเย็น
การออกกำลังในช่วงเย็นถึงค่ำถือเป็นช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่คนเมือง เนื่องจากความเหมาะสมเรื่องเวลา มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าอุณหภูมิในร่างกายที่สูงกว่าในตอนเย็น จะช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงาน กล้ามเนื้อหดตัว เส้นเลือดขยาย และมีปริมาณฮอร์โมน Cortisol ที่เป็นอุปสรรคต่อการเกิดกล้ามเนื้อน้อยกว่า การ Work out ในตอนเย็นจึงช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่า ดังนั้นการออกกำลังในช่วงเย็นจะเห็นผลดีในกลุ่มเวทเทรนนิ่ง ซิทอัพ เพื่อสร้างมัดกล้าม นอกจากนั้นยังช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานตลอดทั้งวัน คนที่ออกช่วงเย็นจึงหลับง่ายกว่านั่นเอง
แต่การ work out ช่วงเวลานี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน จริงอยู่ที่การออกกำลังกายในช่วงเย็นจะมีพลังงานแรงกายมากกว่า แต่ด้วยพลังงานที่สะสมเหล่านี้นี่เองที่ให้ต้องใช้เวลาในการเผาผลาญให้หมดนานกว่า โดยอาจจะใช้เวลาถึง 30-40 นาทีเลยทีเดียว รวมทั้งยังทำให้เป็นกิจวัตรและต่อเนื่องได้ยากกว่า ลองสังเกตว่าช่วงเวลาเย็นๆ เรามักจะถูกรบกวนด้วยภาระและกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายกว่า หรือหลายครั้งเมื่อทำงานระหว่างวันหนักก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการนำร่างไปออกกำลังกายนั้นช่างยากเหลือเกิน ทางออกของปัญหานี้คือต้องใช้ความพยายามจัดสรรเวลาให้ได้
ตามจริงแล้วสิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินและชี้วัดว่าได้ผล ไม่ได้อยู่ที่ช่วงเวลา แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอของการปฏิบัติมากกว่า เพราะไม่ว่าช่วงเวลาไหนการออกกำลังกายก็มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น อาจไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อดีข้อเสียของช่วงเวลามากนัก ลองหั่นเวลาออกกำลังเป็นวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที และเข้าคลาสเวทเทรนนิ่ง อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ก็น่าจะเพียงพอต่อการดูแลร่างกายแล้ว
แต่อย่าลืมว่าแค่ร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ความยืดหยุ่นก็สำคัญกับสุขภาพไม่แพ้กัน คุณควรหาเวลาสำหรับการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างน้อยวันละ 20-30 นาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือหากไม่มีเวลาจริงๆ ลองให้ผู้เชี่ยวชาญที่ Stretch me ให้ช่วยดูแลร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี